ตอนที่ 162

บทที่ 162 : ผู้ที่ทำให้ข้าอับอายจะต้องตาย

พระราชวังต้าจิน

วันนี้ไม่ใช่วันประชุม ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากพิธีบวงสรวงเพิ่งจะผ่านพ้นไป ดังนั้นวันนี้ข้าราชบริพารส่วนใหญ่จึงไม่ได้เข้ามาในวัง

พระราชวังทั้งหมดดูว่างเปล่าเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีชูหยวนเหลียงก็ไม่ได้กลับบ้านเพื่อไปพักผ่อน

หลังจากเห็นว่าราชรถสีทองของพยัคฆ์ขาวได้ออกจากพระราชวังไป เขาก็มาที่วังของจักรพรรดิเว่ยอี้และคำนับด้วยความเคารพ “ ข้าชู หยวนเหลียงขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท!”

“ รัฐมนตรีชู เจ้ามาที่นี่ทำไมกัน? เข้ามาๆ” เสียงอันเกียจคร้านของเว่ยอี้ดังมาจากข้างใน ราวกับว่าเขาเพิ่งตื่น

“ ขอบคุณฝ่าบาท” ชูหยวนเหลียงยืนขึ้นและเดินเข้าไปในห้องนอน หลังจากผ่านห้องโถง เขาเห็นเว่ยอี้กำลังนอนอยู่หลังม่านและพูดด้วยความเคารพว่า “ ฝ่าบาท ท่านวางแผนที่จะฆ่าพยัคฆ์ขาวอย่างงั้นหรอ?”

“…” เว่ยอี้เงียบลงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาส่ายหน้าและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ รัฐมนตรีชู ทำไมเจ้าพูดอย่างนั้นล่ะ? ข้าเคารพเขาจะตาย ข้าไปมีเจตนาทำร้ายเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

“ ซุยเฮ็งผู้ว่าการรัฐเฟิงโจวมีพลังศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ที่สามารถเรียกลมพายุได้ และตามบันทึกแล้ว นี่ก็น่าจะเป็นพลังของเซียนสวรรค์” ชูหยวนเหลียงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

ในฐานะรัฐมนตรี เขาก็มักจะได้พบกับข้อมูลจำนวนมาก ดังนั้นมันจึงไม่แปลกสำหรับเขาที่จะเข้าใจสถานการณ์ของเซียนสวรรค์

“ จักรพรรดิผู้นี้ขอให้พยัคฆ์ขาวไปอย่างงั้นหรอ?” เว่ยอี้ยังคงส่ายหัวราวกับว่าเขายังคงงงงวยอยู่เล็กน้อย “ ยิ่งไปกว่านั้น การเรียกลมพายุก็เป็นเพียงเรื่องในตำนานเท่านั้น มันจะไปมีคนแบบนั้นบนโลกได้อย่างไร?”

“ ข้าเข้าใจ” ชูหยวนเหลียงหยุดถามหลังจากได้ยินสองคำนี้ เขายืนขึ้นและกล่าวว่า “ ฝ่าบาท ข้าขอตัวลาไปก่อน”

“ ไปเถอะ” เว่ยอี้โบกมือ

หลังจากที่ชูหยวนเหลียงจากไป มันก็เหลือเพียงเว่ยอี้เท่านั้นที่อยู่ในห้องนอน

เขาเดินลงจากเตียงและตรงไปที่โต๊ะ

มันเป็นแผนที่ของต้าจิน

ตุ้บ!

เว่ยอี้ทุบโต๊ะลงตรงบริเวณที่เฟิงโจวตั้งอยู่และกล่าวเย้ยหยัน “ คนที่ทำให้ข้าอับอายจะต้องตาย แม้แต่เซียรปฐพีก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น!”

ถูกต้อง เขาจงใจยุให้พยัคฆ์ขาวไปที่เฟิงโจว

จากนั้นจักรพรรดิเว่ยอี้ก็หยิบหนังสือเล่มเล็กบนโต๊ะขึ้นมา ชื่อปกคือ 'ซุยเฮ็ง'

มันบันทึกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ซุยเฮ็งปรากฏตัว

นี่คือสิ่งที่เว่ยอี้ได้เก็บรวบรวมมาทั้งหมด

ในหนังสือเล่มนี้ เขาได้แยกแยะและวิเคราะห์การกระทำของซุยเฮ็งในตลอดช่วงหกเดือนที่ผ่านมา

ตั้งแต่การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเขา การทำลายล้างกองทัพของราชาหยานที่สั่นสะเทือนโลก และไปจนถึงการทำให้กองกำลังนับล้านแตกตื่นเมื่อครึ่งเดือนก่อน การกระทำเหล่านี้ล้วนแต่ได้รับการบันทึกทั้งสิ้น

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้อยู่แล้วหากอยู่ในเฟิงโจว อาจกล่าวได้ว่าทุกคนรู้เรื่องนี้ และมันก็ไม่มีอะไรแปลก

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากบันทึกของเหตุการณ์เหล่านี้แล้ว มันก็ยังมีบันทึกอีกส่วนหนึ่ง

เว่ยอี้กำลังศึกษาซุยเฮ็งอยู่จริงๆ

หลังจากการค้นคว้ามาเป็นเวลานาน เขาก็เชื่อมานานแล้วว่าซุยเฮ็งเป็นยอดฝีมือที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ และแม้ว่าตัวตนของเขาจะไม่เป็นที่รู้จัก แต่เขาก็ยังเป็นตัวตนที่ทรงพลังอย่างแท้จริง

เขายังเขียนประโยคหนึ่งไว้ท้ายหนังสือเล่มเล็กที่เขารวบรวมเอาไว้อีกด้วย

ซุยเฮ็งมีอำนาจทุกอย่าง!

“ มีเพียงยอดฝีมือเท่านั้นที่จะสามารถกวาดล้างประเทศแบบนี้ได้” เว่ยอี้ถอนหายใจเบาๆ และมองไปทางเฟิงโจว “ ข้าอยากเจอเขาจริงๆ”

“ ถ้าเขามาฆ่าข้าในตอนท้ายและทำลายต้าจิน มันก็คงจะดีไม่น้อยเลย”

...

หวือ!

เสียงของอากาศถูกฉีกขาด

ยักษ์สูง 16.5 เมตรที่ถูกปกคลุมไปด้วยออร่าแสงสีทองเข้มจู่ๆ ก็ปรากฎตัวขึ้นต่อหน้าพยัคฆ์ขาว

แรงกดดันอันมหาศาลที่ไม่มีใครเทียบได้ห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้ในทันที

ความกลัวอย่างสุดขีดเริ่มแพร่กระจายไปทั่วหัวใจของพยัคฆ์ขาว

สิ่งนี้ทำให้เขาลืมที่จะหลบไปชั่วขณะ และเขาก็ลืมเรียกอสูรวิญญาณของเขาออกมาอีกด้วย

เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยความฉงนงุนงง

การแสดงออกของผู้รับใช้สุดแกร่งเต็มไปด้วยความไม่แยแส เขาเป็นยักษ์ไร้อารมณ์ที่กำลังชูกำปั้นขนาดใหญ่ของเขาขึ้นเหนือฟ้า

ซุยเฮ็งได้สั่งให้ปกป้องเขตฉางเฟิงเอาไว้

ดังนั้นมันจึงทำตามคำสั่งของเขาอย่างเคร่งครัด

พยัคฆ์ขาวเป็นเซียนปฐพี และเขาก็ได้แสดงเจตนาฆ่าออกมาอย่างเปิดเผย ด้วยเหตุนี้เอง ผู้รับใช้สุดแกร่งจึงระบุว่าเขาเป็นตัวอันตราย

และเนื่องจากมันเป็นเช่นนั้น พยัคฆ์ขาวจึงต้องถูกกำจัด!

“ ตั้งรับ!”

ในขณะนี้ เซียนมนุษย์ที่พยายามเกลี้ยกล่อมพยัคฆ์ขาวก่อนหน้านี้ก็ตะโกนขึ้น เซียนมนุษย์อีกเก้าคนเคลื่อนไหวในทันทีและเริ่มหมุนเวียนพลังของพวกเขา

เนื่องจากแรงกดดันของผู้รับใช้สุดแกร่งนั้นมีมากเกินไป ดังนั้นเซียนมนุษย์ทั้งหมดจึงตื่นตัวในทันที

ขณะที่พวกเขาหมุนเวียนพลังของพวกเขา ระฆังทองสัมฤทธิ์ที่เปล่งแสงสีเขียวจางก็ปรากฏขึ้นในมือของพวกเขา

ด้วยการเขย่ามันเบาๆ คลื่นเสียงก็ได้กระจายออกไปในทันที

คลื่นเสียงเหล่านี้เชื่อมต่อกันจริงๆ มันสร้างหน้าจอแสงสีเขียวแปลกๆ ที่ห่อหุ้มพยัคฆ์ขาวเอาไว้

ในเวลาเดียวกัน เสียงของระฆังทองแดงที่สั่นสะเทือนก็สะท้อนกับรถม้าสีทองรุ้ง

ลวดลายต่างๆ ที่แกะสลักอยู่บนราชรถสีทองดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา จากนั้นเงาสัตว์อสูรก็บินออกมาจากข้างในและยืนอยู่ใต้ม่านแสงสีเขียว พวกเขาล้อมรอบพยัคฆ์ขาวและปกป้องเขาเอาไว้

เสือขาวสามตัวที่ลากราชรถเองก็อยู่ที่ขอบเขตเซียนมนุษย์แล้วเช่นกัน พวกมันกระโดดไปข้างหน้าในทันทีและยืนขวางหน้าพยัคฆ์ขาว

ในชั่วพริบตา สภาพแวดล้อมรอบๆ พยัคฆ์ขาวก็ถูกล้อมรอบไปด้วยการป้องกันหลายชั้น

เมื่อการป้องกันเหล่านี้เสร็จสิ้น กำปั้นของผู้รับใช้สุดแกร่งก็ได้ตกลงมาแล้ว!

บู้มมมม!

เสียงดังหนวกหูดังขึ้นไปทั่วท้องฟ้าในขณะที่กำปั้นของผู้รับใช้สุดแกร่งได้ทุบเข้ากับกำแพงแสงสีเขียว พลังที่น่ากลัวอย่างยิ่งได้แผ่กระจายออกไป

สิ่งนี้ทำให้ทุกคนในเมืองฉางเฟิงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและเห็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจ

ภายใต้หมัดของผู้รับใช้สุดแกร่ง เมฆบนท้องฟ้าก็ได้กระจายตัวออกไปทุกทิศทุกทางแล้ว มันก่อตัวเป็นเมฆรูปวงแหวน

วงแหวนเมฆที่ใหญ่ที่สุดมีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่าสามลี้ด้วยซ้ำ!

สำหรับคนส่วนใหญ่ ฉากนี้ก็เหมือนกับฉากท้องฟ้าระเบิด

ท้ายที่สุดแล้ว แม้แต่เมฆบนท้องฟ้าก็ยังสั่นสะเทือนเป็นวงแหวน!

อันที่จริง ถ้าใครมองลงมาจากระดับที่สูงกว่าหรือใกล้กับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว พวกเขาก็จะเห็นได้ว่าชั้นบรรยากาศถูกชกออกไปด้วยหมัดของผู้รับใช้สุดแกร่ง

โชคดีชั้นบรรยากาศฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่รับการโจมตีของผู้รับใช้สุดแกร่งนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

การฝึกตนของผู้รับใช้สุดแกร่งอยู่ที่ขอบเขตก่อเกิดรากฐานขั้นต้น แลพะในแง่ของขอบเขตของโลกนี้ เขาก็เทียบเท่ากับเทวาแห่งโลกเซียน แม้แต่กลุ่มของเซียนปฐพีก็ยังต้องตายหากพวกเขาเผชิญหน้ากับเขา

ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงกลุ่มเซียนมนุษย์เลย

ทันทีที่กำปั้นของผู้รับใช้สุดแกร่งกระแทกเข้ากับม่านแสงสีเขียว เซียนมนุษย์ทั้งสิบที่จัดตั้งค่ายกลเพื่อรักษาม่านแสงเอาไว้ก็หลั่งเลือดออกมาจากรูทวารทั้งเจ็ดและคุกเข่าลงกับพื้นในทันที

ยิ่งไปกว่านั้น เสือขาวทั้งสามตัวก็ยังตายตกลงไปในทันที!