ตอนที่ 280 ป่าวิญญาณ

เขามุ่งหน้าไปตามทิศทางของดาบยักษ์ หลิน ยู ใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมงกว่าจะถึงชายขอบของแดนศักดิ์สิทธิ์

ในที่สุด เขาก็มาถึงแดนรกร้างที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา

ทำไมถึงบอกว่ารกร้างฦ

เนื่องจากบริเวณนี้นั้นไม่มีต้นไม้อยู่เลย

มีเพียงลานกว้างที่ก่อด้วยอิฐและหิน ซึ่งมันดูว่างเปล่ามาก

แต่ด้วยการที่มันเป็นสถานที่เช่นนี้ ในเวลานี้ ได้มีคนมากมายสัญจรไปมา เสียงพวกเขาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เมื่อพวกเขาเดินผ่านฝูงชนเข้าไปยังใจกลางจัตุรัส มันมีดาบขนาดยักษ์เสียบลงบนพื้น ตั้งฉากขึ้นไปบนท้องฟ้า

ดูเหมือนจะเอาไว้สกัดกั้นความชั่วร้ายทั้งหมด รวมถึงสะกดข่มภูมิภาคหลักของมอนสเตอร์ที่อยู่ใจกลางแดนศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย

ข้างใดยังมีแท่นเทเลพอร์ตขนาดใหญ่ หลายอันส่องแสงสว่างออกมา ซึ่งรับการคุ้มกันโดยเหล่าเอลฟ์

"ที่นี้คือชายขอบของแดนศักดิ์สิทธิ์งั้นเหรอ?"

หลิน ยู มองไปยังรอบๆด้วยความประหลาดใจ

เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้จากระยะไกลมาก่อน

แต่เมื่อเขามาถึงข้างใต้ดาบยักษ์ เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่รุนแรงอย่างชัดเจน ซึ่งมันทำให้เขานั้นแทบจะหยุดหายใจ

ไม่น่าแปลกว่าทำไมมันถึงมีแต่ลานกว้างและไม่มีอาคารอยู่เลย

"ว่ากันว่าดาบสามเล่มนี้ถูกสร้างโดยบรรพชนเผ่าคนแคระของเรา จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 3 ได้เสียบมันลงบนพื้นด้วยตัวเองเพื่อป้องกันการขยายตัวของภูมิภาคหลักของเหล่ามอนสเตอร์"

เลเซอร์อธิบายจากทางด้านข้าง

หลิน ยู ตระหนักได้ทันทีเมื่อได้ยินเข้าพูด "การที่เขาจะสามารถสร้างดาบขนาดใหญ่แบบนี้ได้ บรรพชนคนแคระของพวกเจ้าต้องแข็งแกร่งมากใช่ไหม"

"นั้นเป็นเรื่องปกติ" เลเซอร์ ลูบเคราอย่างภูมิใจ

"ในยุคเริ่มต้นพวกเราเผ่าคนแคระ ในบรรดาอาณาจักรทั้งหมดนั้นมีเพียงอาณาจักรคนแคระเพียงแห่งเดียวที่สามารถเทียบเคียงกับจักรวรรดิได้"

"นั้นก็จริง" หลิน ยู พยักหน้าอย่างเงียบๆ

ความสามารถในการต่อสู้ของเผ่าคนแคระ ตราบเท่าที่พวกเขาไปถึงระดับ 11 พวกเขาก็สามารถใช้ความแข็งแกร่งของตัวตนระดับ 12 ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ

แม้ว่าจะไม่ยาวนานนักเมื่อเทียบกับอาณาจักรอื่นๆ

ถ้าหากคิดแบบนี้ก้ไม่น่าแปลกใจเท่าไรที่ดาบใหญ่ 3 เล่มนี้จะถูกสร้างขึ้น

"รีบไปเถอะ ใกล้จะเที่ยงแล้ว พวกเราต้องเทเลพอร์ตไปยังเมืองหลวงของอาณาจักรเอลฟ์โดยเร็ว"

หลังจากนั้น พวกเขาก็นำกลุ่มเดินตามกระแสของผู้คนไปยังแท่นเทเลพอร์ตและเริ่มเข้าแถว

ดูจากความยาวของแถว เขาคิดว่ามันต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง

แน่นอนว่า ป่าวิญญาณนั้นเป็นที่นิยมมากในหมู่เผ่าพันธุ์อื่นๆ

"เลเซอร์?"

ทันใดนั้นก็ได้ มีเสียงตะโกนออกมาจากด้านข้างอย่างประหลาดใจ

เอลฟ์ที่อยู่ในชุดเกราะนำกลุ่มเข้ามาทันที เมื่อเห็น เลเซอร์ที่อยู่ในแถวเทเลพอร์ต

"อัลเลน?"

เลเซอร์ดูประหลาดใจเมื่อเห็นคนที่มา

"วันนี้เป็นเวรของเจ้าประจำการที่นี้งั้นเหรอ?"

เสียงตะโกนนี้ได้ดึงดูดความสนใจของเผ่าพันธุ์อื่นๆ ที่กำลังต่อคิวอยู่ทันที

อย่างไรก็ตาเอลฟ์หนุ่มที่ชื่อ อัลเลน ไม่ได้สนใจ ตรงเข้าไปหา หลิน ยู และคนอื่นๆ

"ใช่ วันนี้เป็นวันที่ข้าเข้าเวรน่ะ เจ้าจะกลับอาณาจักรแล้วงั้นเหรอ?"

"เอาละ ข้าต้องการใช้แท่นเทเลพอร์ต ของเจ้าเพื่อกลับไปยังอาณาจักร ข้าคงต้องขอรบกวนเจ้าด้วย"

"ไม่มีอะไรลำบากแม้แต่น้อย เหล่าคนแคระนั้นเป็นเพื่อนของเรา เจ้าสามารถใช้มันได้เท่าที่เจ้าต้องการ"

ด้วยรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าที่หล่อเหลาของ อัลเลน เขาพูดกับกลุ่มของเขาที่อยู่ข้างๆอย่างเคร่งขรึม "พวกเจ้ามัวรออะไรอยู่? จะปล่อยให้แขกผู้มีเกียรติของเรายืนต่อแถวรอได้อย่างไร? รีบส่งพวกเขาไปยังแท่นเทเลพอร์ตเร็วเข้า!"

"ขอรับ!"

กองกำลังรักษาการณ์ตอบกลับอย่างเสียงดัง จากนั้นเปิดช่องทางพิเศษที่จะไปยังแท่นเทเลพอร์ตสำหรับ หลิน ยู แล้วพวกของเขาทันที

ใช่แล้ว

การเจอกับคนรู้จัก

มันช่วยให้ประหยัดเวลาไปได้เยอะเลยทีเดียว ในหน้าของคนแคระเหล่านั้เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ หลิน ยู อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉา

อย่างไรก็ตาม เลเซอร์ ดูเหมือนจะคุ้นชินมันแล้ว ขอบคุณอีกฝ่าย และส่งสัญญาณให้ หลิน ยู และมากอร์นตามมา

"เลเซอร์ เขาคือ..."

ในเวลานั้น ในที่สุดอาร์นเรนก็สังเกตเห็น หลิน ยู ที่อยู่ในกลุ่ม เขาก็ขมวดคิ้ว

"โอ้ เขานั้นเป็นเพื่อนของพวกเราเหล่าคนแคระเอง การที่ไม่ที่นั้นคงไม่ใช่ปัญหาใช่ไหม?" เลเซอร์ มองกลับไปที่ หลิน ยู

"ไม่มีปัญหาแน่นอน แต่เจ้าก็รู้ว่า ป่าวิญญาณ นั้นไม่ต้อนรับเผ่ามนุษย์ มากสุดพวกเขาก็อยู่ได้แค่รอบนอกเท่านั้น.." อัลเลนดูลำบากใจไม่น้อย

"หลิน ยู ดูเหมือนเจ้าจะถูกกีดกัดนะ"

มากอร์น ยิ้มออกมาอย่างแห้งๆ

หลิน ยู ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ เขาได้ยินมานานแล้วว่าเอลฟ์นั้นไม่ชอบติดต่อกับคนจากเผ่าพันธุ์อื่น ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย

เขาพลิกฝ่ามือ โทเค็นรูปใบไม้ปรากฏขึ้นในมือของเขา

"ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรใช่ไหม"

"นี้มัน...."

เมื่อเห็นโทเค็นที่อยู่ในมือของเขา อัลเลนก็ตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง

ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง

"เทียบเชิญจากผู้อาวุโส! มนุษย์ เจ้าได้สิ่งนี้มาได้อย่างไรกัน?"

เขามองไปที่ หลิน ยู ด้วยความตกตะลึง

"เอลฟ์ชราในวิหารแห่งธรรมชาติเป็นคนมอบมันให้กับข้า เขาบอกให้ข้าไปที่ป่าวิญญาณ"

"วิหารธรรมชาติ?"

อัลเลนพูดออกมาด้วยเสียงต่ำ เมื่อเห็นการจ้องมองของ หลิน ยู เขาก็เปลี่ยนไปในทันที

ลำดับอาวุโสของเผ่าเอล์ฟของพวกเขานั้นเข้มงวดมาก

ราชาเอลฟ์ มหาปิโรหิต เอ็ลเดิอร์ บักบวช ไฮเอลฟ์....

ผู้อาวุโสทุกคนมีรูปลักษณ์ที่สูงส่งยิ่ง มีเพียงแค่ราชาเอลฟ์และมหาปุโรหิตเท่านั้นที่สามารถออกคำสั่งกับพวกเขาได้

เนื่องจากนี้เป็นโทเค็นที่ถูกมอบให้โดยผู้อาวุโส เขาจะไม่กล้าพูดอะไรอีก

เมื่อเห็นสายตาของ หลิน ยู พวกเขาก็แสดงความเคารพทันที

"ขออภัย ในความหยาบคายของข้าก่อนหน้านี้ที่ทำให้ท่านต้องลำบาก ข้าหวังว่าท่านจะไม่ตำหนิข้า"

"ไม่เป็นไร" หลิน ยู ยิ้มออกมาจางๆ

"ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะให้ท่านเข้าไป ตอนนี้ผู้อาวุโสทั้งสามกำลังจัดพิธีในส่วนลึกของป่าวิญญาณ"

เนื่องจากผู้อาวุโสเชิญเขามาเป็นการส่วนตัว ดังนั้นเขาต้องมีบางอย่างที่สำคัญอย่างแน่ ผู้อาวุโสท่านนั้นเป็นถึงไฮเอลฟ์เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่กล้าละเลย

หลังจากที่พูดกับชาย 2 คนที่อยู่ด้านหลังของเขา เขาก็ออกจากกลุ่มพาหลิน ยู และคนอื่นๆ เพื่อนำทางไปยังแท่นเทเลพอร์ตที่อยู่ในระยะไกลฃ

ฉากนี้ได้ดึงดูดสายตาของผู้คนโดยรอบในทันที

"คนๆนั้นเป็นใครกัน? เขาไปอยู่กับพวกเอลฟ์และคนแคระได้ยังไง!?"

"เขาเผชิญหน้ากับเอลฟ์นั้นเลยงั้นเหรอ"

"ข้าจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นภาพแบบนี้คือตอนที่ศาสดาจิ้งจอกได้มาเยือน"

"ศาสดาจิ้งจอก? นั้นดูเหมือนจะเป็นราชันระดับ 11"

ฝูงชนต่างพูดคุยกันไปต่างๆนาๆ

สายตาของพวกเขาจับจ้องไปยัง หลิน ยู ที่อยู่ในกลุ่ม

แม้แต่เหล่าเอลฟ์คนอื่นๆ ที่อยู่บนแท่นเทเลพอร์ตก็ถูกดึงดูดไปด้วย

แต่ไม่นาน หลิน ยู และคนอื่นๆก็เดินเข้าไปในแท่นเทเลพอร์ตภายใต้การนำของอัลเลน

ท่ามกลางแสงสว่างวาบ พวกเขาก็หายไปจากสายตาของทุกคน

หวืดด

เกิดเป็นแสงวู่บวาบขึ้น

เมื่อเขาหยุดนิ่งอีกครั้ง หลิน ยู ก็ได้มาปรากฏตัวขึ้นในป่าเขียวชอุ่ม

ใต้ฝ่าเท้าของเขามีแท่นขนาดใหญ่ที่สานด้วยเถาวัลย์ เชื่อมต่อกันจากทุกทิศทางไปยังลำต้นของต้นไม้

ไม่ว่าสายตาของเขาจะมองไปที่ไหน ต้นไม้แต่ละต้นจะมีเถาวัลย์โยงถึงกันเสมอ นกน่าๆชนิดร้องอย่างร่าเริงพร้อมกับดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอม

ด้านล่างมีอาคารบ้านต้นไม้และถนนหลากสาย ผู้คนสัญจรกันไปมาอย่างมีชีวิตชีวา

มันเป็นเมืองอันงดงามที่อยู่ภายในป่า

"ช่างเป็นเมืองที่งดงามเสียจริงๆ! ใหญ่กว่าเมืองหวงซาของข้าตั้งหลายเท่า"

หลิน ยู มองไปรอบๆ เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

รอบนอกของป่าวิญญาณแห่งนี้แตกต่างไปจากที่เขาจินตนาการเอาไว้เล็กน้อย นอกจากเอลฟ์มันยังมีเผ่าพันธ์อื่นอีกมากมายที่อาศัยอยู่ พวกเขาดูสง่างามเหมาะสมกันสถานที่แห่งนี้มาก

พวกเขาดูมีความสุขใบหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

นี่ไม่ใช่เมืองหลวงแห่งป่าที่เขาต้องการสร้างมาตลอดงั้นเหรอ?

"ทุกคนโปรดมากับข้า การบูชายัญใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว"

อัลเลนรีบนำทางไป

"การบูชายัญ?"

เรเซอร์ถามขึ้นด้วยความสงสัย

พวกเขาติดต่อกับเหล่าเอลฟ์บ่อยครั้ง ดังนั้นพวกเขาจึงรู้เรื่องเอลฟ์มากทีเดียว

ส่วน หลิน ยู และ มากอร์น ที่อยู่ข้างๆ รีบหันมามองทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น พวกเขามองไปด้วยความสงสัย

"อันที่จริงๆ ข้าก็ไม่แน่ใจนัก ข้าเพิ่มได้ยินมาว่าเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นบนภูมิภาคหลักของมอนสเตอร์ นักบวชชั้นสูงกำลังสื่อสารกับมารดาธรรมชาติโดยหวังว่านางจะส่งคำทำนายลงมา"

"คำทำนาย?"

มากอร์นและ เลเซอร์ พูดอย่างแผ่วเบาออกมามองไปที่ หลิน ยู แปลกประหลาด

ถ้าอัลเลนได้รู้ว่ามารดาธรรมชาติที่พวกเขานับถือมาโดยตลอด ได้ส่งคำทำลายลงมายังมนุษย์ ไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร

"มีอะไรผิดปกติงั้นเหรอ?"

อัลเลนพบความปกติ เขารีบหันกลับมามองด้วยความสับสน

"ไม่มีอะไร" เลเซอร์ ยิ้ม "รีบเข้าไปในป่าวิญญาณกันเถอะ ข้าต้องรีบกลับไปยังอาณาจักร"

"ใช่แล้ว ข้าได้ยินมาว่าอาณาจักรของพวกเจ้ากำลังตกอยู่ในความโกลาหล เลเซอร์ เจ้าต้องระวังตัวด้วย"

"อย่ากังวล แม้ว่าอาณาจักรข้าต้องอยู่ในความโกลาหล แต่พวกข้าก็ไม่ถูกสังหารง่ายๆหรอก"

"เอาละ งั้นทุกคนไปกับข้า"

หลังจากที่พูดแบบนั้น อัลเลนก็เร่งความเร็วพาพวกเขาออกจากจัตรัสไปยังส่วนลึกของป่าวิญญาณ

ด้วยคำแนะนำของเขา ทำให้การเดินทางรวดเร็วขึ้นมาก

หลังจากที่ใช้เวลาในการเดินทางกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง ในที่สุดพวกเขาก็เข้ามาถึงใจกลางป่าวิญญาณที่เหล่าเอลฟ์อาศัยอยู่

หากมองจากระยะไกล เขาจะสามารถเห็นพวกเขาเดินกันเต็มไปด้วย ต้นไม้โบราณขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางป่า มีเอลฟ์จำนวนมากมารวมตัวกัน

"นั้นคือต้นไม้แห่งเอลฟ์งั้นเหรอ"

ภายในกลุ่ม มากอร์น ร้องออกมาด้วยเสียงที่ตกตะลึง

ตั้งแต่ตอนยังเด็ก เขาได้ยินจากผู้อาวุโสของเผ่าเล่าเรื่องต้นไม้แห่งเอลฟ์ให้เขาฟัง

สามารถพูดได้ว่า

ชาวเอลฟ์ทั้งหมดนั้นกำเนิดขึ้นมาบนต้นไม้แห่งเอลฟ์

ต้นไม้นี้มีความสำคัญกับเหล่าเอลฟ์เป็นอย่างมาก มันเป็นรากฐานในการดำรงอยู่ของพวกเขา

นี้เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ไม่อนุญาติให้ชนต่างเผ่าเข้าใกล้ เพื่อปกป้องความปลอดภัยของต้นไม้แห่งเอลฟ์ ไม่ให้เกิดความเสียหาย

"นี้คือต้นไม้แห่งเอลฟ์งั้นเหรอ? มันเต็มไปด้วยออร่าแห่งชีวิตที่แข็งแกร่งจริงๆ"

หลิน ยู สดหายใจเข้าลูกๆ ราวกับว่าทั้งร่างกายและจิตวิญญาณของเขาได้รับการชำระล้างให้บริสุทธิ์ เขารู้สึกปลอดโปร่งอย่างอธิบายไม่ถูก

แม้แต่ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาในระหว่างการต่อสู้ในช่วงก่อนหน้านี้ก็หายไปทันที

หลังจากนั้น

พวกเขาตามอัลเลนและเอลฟ์ตนอื่นๆไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปยังทิศทางของต้นไม้แห่งเอลฟ์ พวกเขาไม่ถูกเอลฟ์ตัวอื่นขวางแม้แต่น้อย

หลิน ยู นั้นอยากที่จะเจอเอลฟ์มานานแล้ว

ก่อนที่โลกจะล่มสลาย ต้นไม้แห่งเอลฟ์นั้นสามารถพบเห็นได้เฉพาะในนวนิยาย เกม หรือภาพยนตร์เท่านั้น มันราวกับภาพลวงตา

เขาไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เห็นมันในตอนนี้ เขาตื่นเต้นอย่างไม่อาจควบคุมได้

และเขายังได้ยินมาด้วยว่าผู้ปกครองอาณาจักรเอลฟ์ในตอนนี้คือราชินีเอลฟ์ที่มีระดับ 12 นางเป็นสิ่งมีชีวิตที่งดงามที่สุดบนโลกนี้

ถ้าหากเขาโชคดีพอที่จะได้เห็นนาง การเดินทางไกลในครั้งนี้ของเขาก็ไม่เสียเปล่าแล้ว

ด้วยความคิดเหล่านี้พวกเขาเดินทางผ่านบ้านต้นไม้ มาถึงส่วนลึกของป่าวิญญาณ ใต้ต้นไม้แห่งเอลฟ์ขนาดยักษ์ที่ตั้งตะหง่านระหว่างท้องฟ้าและโลกอย่างสง่างาม

อย่างไรก็ตาม

น่าเสียดายสำหรับ หลิน ยู

เพราะเมื่อกลุ่มของเขามาถึงชายขอบจัตุรัสขนาดใหญ่ใต้ต้นไม้แห่งเอลฟ์ เขาก็ไม่ได้เห็นราชินีเอลฟ์

แต่เขานั้นมองเห็นกลุ่มเอลฟ์ที่ทรงพลัง และกลุ่มจิตวิญญาณดอกไม้ที่บินอยู่ในอากาศ

ภายใต้การนำของเอลฟ์ชราที่ถือคถาเวทย์ เขาคำนับต้นไม้เอลฟ์ที่อยู่ตรงหน้าราวกับเป็นพวกเคร่งศาสนา

ต้นไม้เอลฟ์ล้อมรอบด้วยแสงพร่างพราว กระจายแสงอ่อนๆลงมายังด้านล่าง

ช่วยให้ร่างกายและจิตใจของทุกคนผ่อนคลาย

ราวกับโลกทั้งใบกับมาเงียบสงบอีกครั้ง