ตอนที่ 219

บทที่ 219 : ยอดนักบุญสวรรค์

สำหรับเย่หยุนแล้ว เขาก็เคยไปที่ตำหนักนักบุญสวรรค์มาแล้วหลายครั้ง เขาคุ้นเคยกับทุกสิ่งภายในเป็นอย่างดี แต่ทุกครั้งที่เข้ามา เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะกระวนกระวายใจและกลัวจนทำอะไรไม่ถูก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ยอดนักบุญสวรรค์ขึ้นครองบัลลังก์

ความรู้สึกนี้ยิ่งชัดเจนมากขึ้นไปอีก

ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากเข้าสู่ตำหนักนักบุญสวรรค์แล้ว เย่หยุนจึงยังคงระมัดระวังเป็นอย่างมาก เขาให้ความสนใจกับทุกคำพูดและการกระทำของเขา

ในที่สุดเขาก็มาถึงนอกห้องโถงขนาดใหญ่

จากนั้นเขาก็หยุด

“ เย่หยุนจากสำนักเอกาสวรรค์อันศักดิ์สิทธิ์คารวะองค์เหนือหัว” เย่หยุนคุกเข่าลงบนพื้นนอกห้องโถงและโค้งคำนับด้วยความเคารพ

“ เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าต้องการมารายงานการรุกรานของเซียนทองครึ่งขั้นในโลกสูญสวรรค์อย่างนั้นใช่ไหม” เสียงอันเย็นชาดังมาจากในห้องโถงอีกครั้ง “ บอกข้ามาว่าใครกันที่กล้าทำแบบนี้”

“ ตามท่านบัญชา!” เย่หยุนตะโกนขึ้นอีกครั้ง ทัศนคติของเขายังคงให้ความเคารพอย่างมาก แต่สภาพจิตใจของเขาก็ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด “ เรื่องมันเป็นเช่นนี้…”

จากนั้นเขาก็เล่าให้ฟังถึงมังกรเพลิงในสำนักเอกาสวรรค์อันศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้ เขาก็ยังเล่าให้ฟังอีกว่าเขาผู้เป็นเทพลึกลับไท่อี้ก็ยังถูกบดขยี้โดยมันและต้องระเบิดตัวเองเพื่อหลบหนีออกมา

ประเด็นหลักคือความดุร้ายและความแข็งแกร่งของมังกรเพลิง เขาเน้นย้ำว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมังกรเพลิงเลย และผู้บงการที่แท้จริงก็น่าจะเป็นเซียนทองครึ่งขั้น

ในท้ายที่สุด เขาก็โทษไปที่มังกรเพลิงและปีศาจจากโลกเบื้องล่าง

ปีศาจตัวนั้นน่าจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนทองครึ่งขั้น

เขากำลังวางแผนที่จะต่อต้านโลกสูญสวรรค์

“ ข้าจำได้ว่าในการประชุมครั้งก่อน พวกเจ้าก็พูดคุยกันถึงปีศาจจากโลกเบื้องล่าง เขามีพลังมากจริงๆ หรอ?”

เสียงของยอดนักบุญสวรรค์ดังมาจากภายใน “ ในตอนนั้น พวกเจ้าก็ยืนยันว่าปีศาจร้ายจากโลกเบื้องล่างนั้นไม่สามารถเป็นเซียนทองครึ่งขั้นไปได้ แต่ตอนนี้เจ้าก็เปลี่ยนใจแล้วหรอ?”

“ ท่านเจ้า คราวที่แล้วข้าแค่ฟังคำอธิบายของคนอื่นเลยตัดสินผิดพลาดไป โปรดยกโทษให้ข้าด้วย” เย่หยุนอธิบาย “ ครั้งนี้ข้าได้สัมผัสมันด้วยตัวเองแล้ว มันจะต้องไม่มีข้อผิดพลาดแน่นอน มังกรเพลิงตัวนั้นแข็งแกร่งมาก ข้าถูกกรงเล็บมังกรของมันคว้าไว้และไม่มีโอกาสแม้แต่จะหลุดพ้นได้ และในท้ายที่สุด ข้าก็ทำได้เพียงระเบิดตัวเองเพื่อหลบหนีออกมา พลังดังกล่าวอย่างน้อยที่สุดก็จะต้องอยู่ที่ขอบเขตเซียนทองครึ่งขั้นอย่างแน่นอน

“ และปีศาจร้ายจากโลกเบื้องล่างก็ไม่ใช่มังกรเพลิง แต่มันเป็นมนุษย์ ผู้ที่มีความสามารถในการควบคุมมังกรเพลิงได้และแม้แต่ฆ่าปีศาจไร้เทียมทานในแกนโลกได้”

“ มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่ความแข็งแกร่งดังกล่าวจะต่ำกว่าเซียนทองครึ่งขั้น และอันที่จริง ข้าก็สงสัยด้วยซ้ำว่าปีศาจจากโลกเบื้องล่างนั้นอาจจะเป็นเซียนทองเช่นกัน”

หลังจากพูดจบแล้ว เย่หยุนก็หลับตาลงและหมอบลงกับพื้น เขาไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อยในขณะที่รอคำตอบจากยอดนักบุญสวรรค์อย่างเงียบๆ

ตอนนี้เขากระสับกระส่ายมาก

เขาเป็นกังวลเล็กน้อยว่าคำพูดของเขาจะทำให้ยอดนักบุญสวรรค์โกรธ

ท้ายที่สุดแล้ว ในช่วง 3,000 ปีที่ผ่านมา มันก็มีเซียนทองเพียงหนึ่งเดียวในโลก

และมันก็อยู่ในตำหนักนักบุญสวรรค์

นี่หมายถึงอำนาจที่เด็ดขาดและสถานะที่สมบูรณ์

ถ้าเขาบอกว่ามีเซียนทองคนที่สองในโลกใบนี้

มันก็ง่ายมากที่จะทำให้คิดว่ามันเป็นการท้าทายอำนาจและตั้งคำถามกับสถานะของยอดนักบุญสวรรค์

แน่นอนว่ามันมีโอกาสสูงที่จะไปกระตุ้นเจตนาฆ่าของเขา มันจะทำให้เขาระดมกำลังเพื่อไปที่โลกสูญสวรรค์เพื่อฆ่าปีศาจจากโลกเบื้องล่าง

นี่เป็นเป้าหมายสุดท้ายของเย่หยุน

อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้มันก็ไม่มีใครพูดอะไรเป็นเวลานาน

เย่หยุนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย

หลังจากนั้นไม่นาน

เสียงนั้นดังมาจากในห้องโถงอีกครั้ง และพูดด้วยความเยาะเย้ยว่า “ เย่หยุน ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ เจ้าต้องการให้ข้าส่งหรือสร้างกองกำลังที่ทรงพลังเพื่อไปฆ่าสิ่งที่เรียกว่า 'ปีศาจจากโลกเบื้องล่าง' ใช่ไหม”

เย่หยุนตัวสั่นในทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาพยักหน้าทันทีและพูดว่า “ ใช่ ใช่ องค์เหนือหัวโปรดสงบสติอารมณ์ ข้า.. ข้ากำลังพูดความจริงและไม่มีการหลอกลวงเลย!”

“ ถ้าเป็นข่าวปลอม ตอนนี้เจ้าก็คงจะกลายเป็นกองแมลงเน่าไปแล้ว” เสียงข้างในเย้ยหยัน “ ข้าไม่สนใจความคิดของเจ้า แต่เจ้าต้องตรวจสอบให้ชัดเจนก่อนว่าปีศาจจากโลกเบื้องล่างนี้เป็นเซียนทองหรือไม่”

“ ใช่ ใช่ ขอบคุณองค์เหนือหัว!” เย่หยุนพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอนนี้เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างมากกับน้ำเสียงของอีกฝ่าย

“ ไปได้แล้ว!” เสียงที่ไม่แยแสและเย็นชาดังมาจากห้องโถง “ ครั้งต่อไปที่เจ้ามาหาข้า เจ้าก็จะต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อน ฮึ่ม!”

การตะคอกครั้งสุดท้ายเป็นเหมือนกับเสียงฟ้าร้อง มันเกือบทำให้วิญญาณของเย่หยุนสลายไป ณ จุดนั้น

ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็ตะเกียกตะกายออกไปแล้ว

ตำหนักนักบุญสวรรค์กลับสู่สภาพที่เงียบสงบตามปกติ

มันมีเพียงเสียงในห้องโถงเท่านั้นที่ยังคงก้องอยู่ “ เซียนทอง? มันจะเป็นไปได้อย่างไร?! ภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวนี้ มันก็มีแก่นแท้เซียนเพียงสี่ส่วนเท่านั้น มันจะไปมีเซียนทองคนที่ห้าได้อย่างไร?”

“ ถ้ามังกรเพลิงตัวนั้นเป็นเซียนทองครึ่งขั้นจริงๆ งั้นมันก็จะต้องแก่นแท้เซียนอีกหนึ่ง”

“ แต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้ นี่คือเซียนทอง มันเป็นขอบเขตการฝึกตนขั้นสูงสุดที่หาได้ยาก มันเป็นตำแหน่งที่มีจำนวนแน่นอน”

“ แบบนี้แล้วมันจะไปมีจำนวนเพิ่มขึ้นมาได้อย่างไร!”

“ มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!”

“ นอกเสียจากว่ามันจะเป็นตัวตนลึกลับที่ครั้งหนึ่งเคยปนเปื้อนส่วนหนึ่งของแก่นแท้เซียน…”

….

เย่หยุนกลับไปที่ถ้ำของเขาด้วยท่าทางที่น่าเกลียดอย่างยิ่ง

เดิมทีใบหน้าของเขาเป็นเพียงโครงกระดูก และตอนนี้เมื่อมันมีความกลัวเพิ่มเข้ามา มันจึงทำให้เขาดูน่ากลัวยิ่งขึ้น

เขารู้สึกหวาดกลัวมาก

นี่เป็นเพราะเขารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเขาทำให้ยอดนักบุญสวรรค์ขุ่นเคือง

เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว หนึ่งในเก้าผู้อาวุโสของสำนักเซียนได้ทำให้ยอดนักบุญสวรรค์ขุ่นเคืองเพราะคำพูดที่เลินเล่อของเขา และในท้ายที่สุด เขาก็ถูกซัดตัวแตกและกระจัดกระจายเป็นแมลงปีศาจมลายนภาจำนวนนับไม่ถ้วน

แม้ว่ายอดนักบุญสวรรค์จะไม่สามารถฆ่าผู้อาวุโสทั้งเก้าของสำนักเซียนลงได้ แต่เขาก็สามารถเอาชนะพวกเขาได้อย่างง่ายดาย นอกจากนั้น เขาก็ยังใช้ข้อจำกัดเพื่อทำให้พวกเขาไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้ได้

หนึ่งในผู้อาวุโสทั้งเก้าซึ่งเป็นเทพลึกลับไท่อี้ได้ถูกขังอยู่ในโคลนสีม่วงดำเป็นเวลา 500 ปี และพอฟื้นกลับขึ้นมาได้ เขาก็แทบจะกลายเป็นบ้า แม้หลังจากพักฟื้นมาเป็นเวลา 300 ปี เขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาเป็ฯปกติ

“ คราวนี้ข้ายังกังวลและประมาทมากเกินไป”

เย่หยุนตรวจสอบการกระทำก่อนหน้านี้ของเขาและรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง “ จริงๆ แล้วข้าก็ยังไม่ได้เตรียมการใดๆ เลยและตรงไปหายอดนักบุญสวรรค์ ข้าเกือบจะพาตัวเองไปตายซะแล้ว”

“ ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่ายอดนักบุญสวรรค์ดูจะสนใจปีศาจจากโลกเบื้องล่าง ข้าก็คงจะกลายเป็นลูกบอลโคลนสีม่วงดำและถูกจองจำไปแล้ว”

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น

ฉากเมื่อ 3,000 ปีก่อนแวบเข้ามาในความคิดของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ

“ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ร่างกายของเราก็กลายเป็นแมลงสีม่วงดำเหล่านี้

“ เรายังเป็นผู้ฝึกตนอยู่จริงหรือเปล่า? เรายังเป็นคนอยู่จริงไหม?”

“ หรือนี่คือผลกรรม?”